กระบวนการต้องโทษ ในประมวลกฏหมายอาญากับในพระวินัยปิฏก การศึกษาเชิงเปรียบเทียบ

ประเภท: 

งานวิจัย

ผู้แต่ง: 

อำนวย ยัสโยธา

สำนักพิมพ์: 

ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสต์และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครูสงขลา

ปีที่พิมพ์: 

2531

เลขหมู่: 

ว.294.3822 อ215ร

รายละเอียด: 

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะศึกษา "กระบวนการต้องโทษ” ในประมวลกฎหมายอาญากับในพระวินัยปิฎก เพื่อที่จะนํามาศึกษาวิเคราะห์ในเชิงเปรียบเทียบกันในประเด็นที่น่าสนใจ ลักษณะของการวิจัยเป็นการวิจัยเอกสาร รายงานผลการวิจัยในรูปแบบของการ"พรรณนาวิเคราะห์" (analytical description) ขอบเขตของการวิจัยได้จํากัดกรอบไว้เฉพาะในแง่ของ "กระบวนการต้องโทษ” ในกฎหมายอาญากับในพระวินัย โดยจํากัดกรอบเนื้อหาให้อยู่ในขอบเขต คือ 1 บทบาทของกฎหมายกับบทบาทของศาสนาต่อการจัดระเบียบสังคม 2 กระบวนการบัญญัติความผิด และโทษในประมวลกฎหมายกับในนระวินัย 3 ลักษณะของการกระทําที่ถือว่าเป็นความผิด และต้องรับโทษในประมวลกฎหมายกับในพระวินัย 4 ความผิดและโทษที่จะได้รับจากการล่วงละเมิดกฎหมายกับพระวินัย 5 กระบวนการพิจารณาคดีในประมวลกฎหมายกับในพระวินัย ผลของการวิจัยปรากฏดังนี้ 1 ทั้งกฎหมายและศาสนาต่างที่มีบทบาทอย่างสูงต่อการจัดระเบียบสังคม ถือได้ว่าทั้งกฎหมายและศาสนาต่างก็เป็น "วิศวกรสังคม” (social engineering) คือมีบทบาทต่อการ ออกแบบ และสร้างรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรและบุคคลในสังคมให้เป็นไปตามที่กฎหมาย และศาสนานั้น ๆ ต้องการ ทั้งกฎหมาย และศาสนาต่างก็มีข้อได้เปรียบและเสียเปรียบต่อกันในบางแง่บางประเด็น ถ้าจะให้ดีที่สุดจะต้องใช้ทั้งกฎหมายและศาสนาควบคู่กันไป 2 กระบวนการบัญญัติความผิดและโทษในกฎหมายกับในพระวินัย มีกระบวนการที่พอจะ เปรียบเทียบกันได้คือ การบัญญัติกฎหมายในสมัยก่อนการปกครองด้วยระบบรัฐสภา พระมหากษัตริย์ทรงมีอํานาจสิทธิ์ขาดแต่เพียงพระองค์เดียวที่จะตรากฎหมายใด ๆ ออกใช้ โดยอาจจะทรงตราด้วยพระองค์เองหรือทรงแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งที่เป็นชาวไทยและชาวต่างชาติขึ้นเพื่อ รัฐสภา ส่วนกระบวนการบัญญัติความผิดและโทษในพระวินัย พระพุทธเจ้าทรงมีอํานาจสิทธิ์ขาด แต่เพียงพระองค์เดียวที่จะบัญญัติพระวินัยสิกขาบทใด ๆ ชิ้นใช้ การบัญญัติพระวินัยพระพุทธเจ้าจะทรงกระทําก็ต่อเมื่อมีมูลเหตุแห่งการบัญญัติพระวินัยเกิดขึ้นก่อน เมื่อมีเรื่องเป็นที่โจษขานขึ้นแล้ว ก็จะทรงเรียกประชุมสงฆ์ ทรงไต่สวน เมื่อได้ความสมจริงแล้วก็จะทรงกระทํา "ธรรมีกถา" ชี้แนะเพื่อแยกแยะเหตุผลให้เห็นถูกผิดดีชั่ว แล้วก็ทรงบัญญัติพระวินัยสิกขาบทนั้น ๆ ชิ้น เรียกว่า ลักษณะที่คล้ายคลึงกันอีก ก็จะทรงบัญญัติพระอนุบัญญัติในลําดับถัดมา 3 ลักษณะของการกระทําที่ถือว่าเป็นความผิด และต้องรับโทษในกฎหมายกับในพระวินัย ในกฎหมายถือว่าการกระทําที่เป็นความผิด และต้องรับโทษ ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้ก่อนว่าการ กระทํานั้นเป็นความผิดและต้องรับโทษ เมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้แล้วและมีผู้ละเมิดอีก ก็ให้พิจารณา ว่าการกระทํานั้นเป็นการกระทําตามความหมายของกฎหมายหรือไม่ ถ้าเป็นการกระทําตามความ หมายของกฎหมายก็ให้พิจารณาต่อไปว่าครบองค์ประกอบภายนอกและภายในหรือไม่ ถ้าครบองค์ ประกอบของความผิด ก็ให้พิจารณาต่อไปว่ามีกฎหมายยกเว้นความผิดสําหรับการกระทํานั้นหรือไม่ ถ้าไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิดก็ให้พิจารณาต่อไปว่ามีกฎหมายยกเว้นโทษสําหรับความผิดนั้นหรือไม่ ถ้าพิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ ครบถ้วนแล้วก็ถือว่ามีความผิดและต้องรับโทษตามกฎหมาย ส่วน ในพระวินัยมีหลักการพิจารณาการกระทําที่ถือว่าเป็นความผิด และต้องรับโทษพอจะเปรียบเทียบกัน ได้ในทํานองเดียวกัน ทั้งในส่วนที่เป็นลักษณะของการกระทํา, องค์ประกอบของการกระทําคือ "ส์จิตตกะ" อันได้แก่ความจงใจหรือเจตนา และ "อจิตตกะ" อันได้แก่ความไม่จงใจหรือไม่ เจตนา และพิจารณาถึงพระวินัยได้บัญญัติยกเว้นความผิดและโทษสําหรับความผิดนั้นหรือไม่ 4 ความผิดและโทษที่จะได้รับจากการล่วงละเมิดกฎหมายกับพระวินัย ความผิดทางอาญาแบ่งได้ 12 ลักษณะ และโทษทางอาญามี 5 สถาน ส่วนความผิดและโทษในพระวินัยแบ่งตามชนิด ของโทษ (อาบัติ) ที่จะได้รับ คือ อาบัติอย่างหนัก ได้แก่ "ปาราชิก" มี 4 สิกขาบท, อาบัติ อย่างกลางได้แก่ "สังฆาทิเสส" มี 13 สิกขาบท และอาบัติอย่างเบา อันได้แก่ ถุลลัจจัย, ปาจิตตีย์, ปาฏิเทสนียะ, ทุกกฏ และทุพภาษิต มีหลายสิกขาบท 5 การบวนการพิจารณาคดีในประมวลกฎหมายอาญาในพระวินัย การะบวนการการยุติธรรมในประมวลกฎหมายอาญาเริ่มต้นจากพนักงานสอบสวน,พนักงานอัยการ,ศาลชั้นต่ำ,ศาลอุธรณ์ และศาลฎีกาเป็นที่สุด ส่วนกระบวนการพิจารณาคดีในพระวินัย เมื่อภิกษุรูปใดกระทําผิดวินัยก็จะมีการฟ้องร้องกันในสํานักบุคคล, คณะบุคคล หรือสํานักสงฆ์ แล้วมีการไต่สวนคดีตามลําดับขั้นตอน จนกระทั่งมีคําวินิจฉัยเพื่อลงนิคหกรรม ถ้าคู่กรณีไม่พอใจคําวินิจฉัยนั้นก็สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาต่อพระพุทธเจ้า คําวินิจฉัยชี้ขาดของพระพุทธเจ้าถือเป็นที่สุด ส่วนการดําเนินคดีตามกฎมหาเถรสมาคม ให้ดำเนินการฟ้องร้องต่อคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ถ้าคู่กรณีไม่พอใจดำเนินวินิจฉัยการนิคหกรรมก็สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาต่อคณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา คําวินิจฉัยของคณะผู้พิจารณาชั้นฎีกา ถือเป็นที่สุด

ไฟล์เอกสาร: 

(คลิกที่ชื่อเอกสารเพื่ออ่าน) 

ส่วนหน้า

บทคัดย่อ

สารบัญ

บทที่ 1

บทที่ 2

บทที่ 3

บทที่ 4

บทที่ 5

บทที่ 6

บทที่ 7

บรรณานุกรม

ภาคผนวก

ประวัติผู้แต่ง